แผ่กุศล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
การอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลได้ตรงไหน? ได้เพราะว่าเรานั่งภาวนาไป จิตจะสงบหรือไม่สงบ เขาถามว่า อุทิศส่วนกุศลมันจะได้บุญกุศลเหรอ? เพราะจิตเขาไม่สงบ ถ้าจิตเขาไม่สงบ อุทิศส่วนกุศลไปเขาจะได้รับอะไรขึ้นมา?
เราบอกว่า จิตสงบไม่สงบนั่นเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งคือเราปฏิบัติบูชา เรานั่งภาวนาเป็นชั่วโมงๆ เรายกร่างกายเราถวายพระพุทธเจ้าเป็นชั่วโมงๆ อันนี้เราปฏิบัติบูชา และอุทิศส่วนกุศลนี้ไป เห็นไหม ของเล็กน้อยไม่ให้มองข้ามไป ถ้าเราอุทิศส่วนกุศล
แต่ก็บอกไว้ว่า ถ้าเรานั่งภาวนาแล้ว ก่อนจะออกเราก็อุทิศส่วนกุศลไป อุทิศส่วนกุศล เจ้ากรรมนายเวร ร่างกายนี้ได้มาจากใครมา? ร่างกายนี่ได้มาจากพ่อแม่ เพราะเป็นลูกของพ่อแม่ ร่างกายนี่ของพ่อแม่ แล้วยกร่างกายนี่บูชาพระพุทธเจ้า นี่อุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ พ่อแม่ก็ได้รับ ทุกคนจะได้รับหมด เพราะเราเอาเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อและแม่มาสร้างคุณงามความดี
ทำคุณงามความดี...คุณงามความดีนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับหัวใจนะ แต่ถ้ามองข้ามไป คุณงามความดีเป็นนามธรรม คุณงามความดี ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย?
ได้...ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วโดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติของมัน สัจจะของมันเป็นอย่างนั้นเลย แต่ทำความดีมันยังไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา ทำกับใคร? มันไม่ใช่เวลาของเรา เราถึงทำคุณงามยังไม่ได้คุณงามความดี ทำกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ทำกับเนื้อนาบุญของโลก เราทำกับครูบาอาจารย์ ทำบุญนะ เนื้อนาบุญของโลก แล้วมันยังไม่ให้ผลของเรา
มันยังไม่ให้ผลเพราะว่าเรารดน้ำต้นไม้ เรารดที่โคน มันจะออกที่ปลาย เราไปรดน้ำต้นไม้ที่โคนแล้วก็ให้ผลไม้ออกที่โคนนั้น คือเราปรารถนาเดี๋ยวนั้น เราต้องการเดี๋ยวนั้น น้ำรดลงไปแล้วจะให้ได้ผลปรารถนาตามความเห็นของตัวเอง มันยังไม่ได้ผลตามนั้น
ฉะนั้นว่ากรรมมันจะส่งผลให้แน่นอน เพียงแต่กาลเวลามันไม่สมใจเรา เราคิดอยากจะเอาผลประโยชน์ของเรา เอาความพอใจของเรา มันถึงไม่ได้ตามความพอใจของเรา เห็นไหม เราถึงว่ามันไม่เป็นไป
มันเป็นไปสิ...ถ้าไม่เป็นไปนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรารถนาอยู่อีก ๑ กัปก็อยู่ได้ บอกพระอานนท์ไว้ถึง ๑๖ ครั้งว่าให้พระอานนท์นิมนต์ไว้ ถ้านิมนต์ไว้จะปฏิเสธทั้ง ๒ ครั้ง แล้วถ้าคือนิมนต์ครั้งที่ ๓ จะอยู่ต่อไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บุญกุศลสามารถ...คนเราจะตายนี่ยืดอายุออกไปก็ได้ เห็นไหม แล้วมันมีสิ่งใดบ้างที่จะยืดอายุของคนได้ เงินทองข้าวของต่างๆ ยืดอายุของคนได้ไหม?
แต่บุญกุศลอำนาจวาสนาบารมีสามารถยืดอายุของคนได้ ยืดอายุคนที่ตายไป ยืดอายุไปได้ มันซื้อชีวิตได้ว่าอย่างนั้นเถอะ ว่าบุญกุศลนี่มันสามารถให้เวลาความเป็นอยู่ของเรายาวไกลออกไปอีกได้ แต่อย่างอื่นไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ซื้อแต่ซื้อปิดชีวิต โลกเขาซื้อปิดชีวิตกัน เอาเงินซื้อกัน ฆ่ากัน เห็นไหม ซื้อชีวิตคือปิดชีวิต แต่นี้ซื้อชีวิตให้มันดำรงอยู่ ซื้อชีวิตไว้สืบต่อไป อันนี้บุญกุศล
บุญกุศลมันของเล็กน้อย อย่ามองข้ามไป เราถ้าไม่มองข้ามไป เห็นไหม เราสะสมบุญกุศลไปเป็นอำนาจวาสนาบารมี แล้วเวลามาตกทุกข์ได้ยากหรือมีอุบัติเหตุอะไร มันจะแก้ไขไป มันจะพ้นล่วงจากอันนี้ไป
นี่เรามองไม่เห็นตรงนั้นไง เราไปมองกันว่าบุญกุศลคือความสุขใจของเรา คือความปรารถนาของเรา คือความต้องการของเราไง แล้วความต้องการของเรา เพราะใจมันไม่รู้ ใจมันก็ต้องการเรื่องของวัตถุ ต้องการเรื่องของโลก
ตรงนั้นไม่ใช่บุญกุศล บุญกุศลคือความสุขของใจ อยู่เปล่าๆ เห็นไหม เวลาบวชขึ้นมา คนจะมีสถานะขนาดไหน เป็นกษัตริย์ขนาดไหน เวลาบวชขึ้นมานี่บริขาร ๘ เท่านั้น มีแค่บริขาร ๘ ของ ๘ อย่างนี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ชีวิตนี้อาศัยของ ๘ อย่างนี้เพื่อเป็นดำรงชีวิตไป เห็นไหม จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนต้องสละทิ้งหมดเลย เพื่อมาเป็นคนทุกข์คนจน พระจนเท่าไหร่ยิ่งมีศักยภาพของพระเท่านั้น เพราะไม่พะรุงพะรัง
พระนี้เปรียบเหมือนนก นกนี่กินอาหารเสร็จแล้วก็บินไป พระนี่เหมือนกัน ถ้าพระธุดงค์ เห็นไหม บิณฑบาตมาฉันเสร็จแล้วแค่อิ่มหนึ่ง แล้วก็เก็บบริขาร ๘ สะพายไป เป็นเหมือนนกไง ชีวิตนี้ไม่พะรุงพะรัง ชีวิตนี้เป็นที่อิสรเสรีภาพ
อิสรเสรีภาพจากภายนอก อิสรเสรีภาพเรื่องของร่างกาย เรื่องของความเป็นอยู่ เรื่องของเครื่องอยู่อาศัย แต่หัวใจยังไม่เป็นอิสรภาพไง มันก็เลยกังวลใจ มันก็ทุกข์ใจว่าเราเป็นคนต่ำต้อย เราเป็นคนน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราเป็นคนต่ำต้อย เราเป็นคนไม่มีศักยภาพ เห็นไหม เขามีความสุขกัน เขามีเครื่องปรนเปรอความสุขกัน...
มันไม่มีหรอก...แค่เก็บสงวนรักษานี่พวกผู้หญิงเข้าใจง่ายเลย อาหารเราเก็บไว้มันจะเสียหาย เห็นไหม การบำรุงเก็บของรักษานี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่เป็นภาระพะรุงพะรังเลย แต่มันพอใจทำเพราะอะไร? เพราะเป็นสมบัติของเรา สิ่งที่เป็นสมบัติของเรา เราจะพอใจทำมาก เราจะเก็บสงวนรักษาของเรา แล้วมันเป็นภาระมันก็พอใจ มันไม่เห็นว่าเป็นภาระหรอก
แต่เราสละออกไป เราปล่อยวางแล้วมันเป็นภาระนี่ สิ่งที่ไม่มีคุณค่าเราสละออกไป เห็นไหม เอ๊อ...มันสบายอกสบายใจ มันโล่งไปหมดเลย เมื่อก่อนทำไมเราไม่สละออกไป? ทำไมเป็นพะรุงพะรัง? เราแบกรับไว้เป็นความยุ่งยาก
นี่มันจะเรื่องเครื่องอยู่อาศัย มันเป็นอิสระขนาดนั้น ใจมันก็เลยต้องค่อยๆ กำหนดใจเข้ามา ถึงว่าบุญกุศลเรื่องของความพอใจ ถ้าใจมันอิ่มพอมันสละออกได้ ของสิ่งนี้ต่างๆ มันสละออกไป นั้นสละเป็นวัตถุ
อย่างเช่นทาน เราให้ทาน ความถ้าคนไม่เคยให้ เห็นคนอื่นเขาให้มากๆ มันจะตกใจนะ โอ้โฮ...ทำไมทำขนาดนั้น? ทำขนาดนี้ก็พอ นั่นน่ะ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่สมบัติของตัวนะ เป็นสมบัติของคนอื่น เขาจะให้ทานของเขา แต่ไอ้ตัวเห็นว่าไอ้นี่มันมากเกินไป มันควรจะขนาดนั้นๆ
นี่ค่าของน้ำใจต่างกัน เขาให้ของเขาได้ขนาดนั้น เราเริ่มให้ได้ขนาดเล็กน้อย เห็นไหม มันไปทำความตระหนี่ถี่เหนียวของใจไง มันเป็นการฝึกใจอย่างหนึ่ง การให้ทานนี่มันเป็นการฝึกใจ ให้สามารถสละออกไปได้ สละออกไปได้...
ความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นไหม ความตระหนี่คือความคิด ความเสียดาย ความรั้งไว้ ความอยากให้เป็นของเรา ยังไม่อยากออกไป แต่เพราะมันมีสิ่งแลกเปลี่ยน เพราะว่าเป็นบุญกุศลแลกเปลี่ยน มันถึงยอมสละออกไปได้ นี่เริ่มสละออกไปแลกเปลี่ยนกับบุญกุศลเพื่อหาได้บุญกุศลมา เริ่มกล่อมใจเข้าไป พอใจเราละเอียดเข้าไปๆ มันต้องทำได้ อย่างเช่นว่าปฏิบัติบูชา เห็นไหม มันถึงว่าเราคิดกันนะว่าไปหาพระไปหาเจ้านี่เป็นสิ่งที่ว่าต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เป็นต้องให้พระให้เจ้า...
ความให้มานี่เป็นของโยมทั้งหมด อาจารย์เขาบอกมา อาจารย์มหาบัวมาเยี่ยมประจำ เห็นไหม ท่านเตือนประจำ สิ่งที่เขาให้มา เห็นไหม เจ้าของนา โยมเป็นเจ้าของสิ่งของทั้งหมด โยมทำนา ในเมื่อเป็นเจ้าของนา ข้าวนั้นเป็นของใคร? ข้าวนั้นเป็นของเจ้าของนาใช่ไหม? ปุญฺญกฺเขตฺตํ เนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญมันได้แต่ซังข้าว มันได้แต่ต้นข้าวไง สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เนื้อมันตกอยู่กับเนื้อนาบุญนั้น
ถ้าพระไม่มีความเข้าใจว่าเป็นคนที่ได้ เป็นคนที่ได้...มันเป็นได้แต่ซังข้าวไง ได้แต่ซังข้าว มันไม่ได้บุญ มันได้แต่วัตถุ ได้แต่ซังข้าว ได้แต่ของที่ว่าเป็นวัตถุนิดหน่อย แต่ผลของมันคือต้นข้าว คือเม็ดข้าว เจ้าของนาทำไปแล้วมันจะได้ข้าวนั้นไป บุญกุศลมันจะฝังใจนั้นไป เราได้สิ่งนั้นต่างหาก เราได้มากกว่าเราสละออกไป แต่เราว่าถ้ามันยังไม่ได้ มันก็ว่าเป็นการแลกเปลี่ยน
การปฏิบัติบูชามันยิ่งกว่านั้นอีก เพราะอะไร? เพราะไม่ต้องใช้วัตถุสิ่งของไง ใช้วัตถุสิ่งของ การซื้อมา การแสวงหามา มันต้องอาศัยคนอื่น ถ้าของเราไม่มี เราอยากให้อะไร? เราอยากจะทำบุญกุศลอยู่แต่เราไม่มี เราจะให้อะไร? แต่เราให้ไม่ได้ อันนั้นก็เป็นโอกาสที่มันล่วงไป
แต่การปฏิบัติบูชานี้มันกำหนดใจเมื่อไหร่นะ จะอยู่ที่ไหน จะอยู่บนรถในเรือ จะอยู่ในห้องนอน จะอยู่ที่ไหนบนเตียงที่ว่าเราจะก่อนนอน เรากำหนดของเราได้หมดนะ กำหนดขึ้นมามันเป็นบุญกุศลทันที บุญกุศลมันละเอียดอ่อนเข้าไป ละเอียดอ่อนเข้าไปจนกว่าใจมันจะสงบ พอใจมันสงบ ความพะรุงพะรังของใจ ความพะรุงพะรังของสิ่งของที่เก็บอยู่ เราเห็นอยู่ มันเป็นความพะรุงพะรังที่เราเห็นเลย ต้องเก็บรักษา แล้วความคิดของใจมันสะสมอยู่ มันซ้อนๆ อยู่ในหัวใจมากมายมหาศาล มันไปเก็บไว้ที่ไหน? แล้วเวลามันคิดมันคิดมาจากไหน? มันมาจากไหน?
ถ้าเอาความคิดนี่เป็นวัตถุ ไม่มีที่เก็บ ห้องนี้ไม่มีที่เก็บ บ้านเรือนที่ไหนก็ไม่มีที่เก็บ ความคิดคิดแค่รถยนต์ ๕ คันก็ไม่มีที่จอดแล้ว แค่นั้นมันก็ไม่มีที่เก็บรักษา นี่แล้วมันอยู่ที่ไหน? แล้วเราสละออกไป พยายามทำความสงบของใจเข้าไป นี่เราปฏิบัติบูชา มันถึงอุทิศส่วนกุศลได้ไง อุทิศส่วนกุศลว่าเราปฏิบัติแล้ว เราบูชาแล้ว เราต้องการทำคุณงามความดีแล้ว คนมีเจตนาดีเขาให้โอกาสทั้งหมด
นี่ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดี เราปฏิบัติแล้ว แต่ใจยังไม่ถึงๆ ถ้าใจถึงนะ มันจะสุขใจมาก ความดูดดื่มของใจ ใจจะมีความสุขมาก แล้วใจนี้อุทิศส่วนกุศลไป อยากอุทิศส่วนกุศล กุศลคือความสุขใจ กุศลคือความอิ่มใจ แล้วอยากให้คนทั่วๆ ไปได้ความสุขอย่างเรานี่ไง มีความสุขอย่างเรา ถ้ามีความสุขอย่างเรา นี่อุทิศอันนี้ออกไป มันจะดูดดื่มมากถ้ามีพื้นฐาน
แต่ไม่มีพื้นฐานเราก็อุทิศส่วนกุศลเหมือนกับแลกเปลี่ยนนะ ความแลกเปลี่ยนไป อุทิศส่วนกุศลไป เพราะ! เพราะเราได้สิ่งนี้มา สิ่งที่เราจะประพฤติปฏิบัตินี่เราต้องได้มา เราไม่ได้สิ่งนี้มา เราจะเอาอะไรมาปฏิบัติ เห็นไหม เราได้กายได้ใจมา เรื่องของภพชาตินี่เป็นเรื่องของบุญกุศลที่สร้างสมขึ้นมาให้เป็นภพชาติให้เกิดเป็นมนุษย์นี้
การเกิดเป็นมนุษย์นี้ เราถึงได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วหัวใจที่มันมากับในมนุษย์นี้ มันถึงว่าเป็นโอกาสส่วนหนึ่งของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเกิดเป็นชาวพุทธแล้วพบพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์สอนให้เรื่องการประพฤติปฏิบัติใจ คือว่าไล่ต้อนเข้าไปหาไอ้เสือในหัวใจของเราไง ไล่ต้อนเข้าไปจับหัวใจของเราให้ได้ ไล่ต้อนเข้าไป เราพยายามจับหัวใจ เพราะหัวใจเป็นผู้ที่เสวยสุข เสวยบุญกุศลทั้งหมด
แต่หัวใจเรายังจับใจของเราไม่ได้ เราจับใจของเราได้เราก็ไม่มีภาชนะ อย่างเขาให้ทองเรา เราจะเก็บไว้ที่ไหนกัน? ให้ทองคำเรานะ เราจะถือทองคำไว้ที่มือตลอดไปได้อย่างไร? เราต้องมีเก็บรักษา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราหาใจของเราเจอ เราเจอภาชนะ ภาชนะนี้จะเก็บรักษาบุญกุศล แล้วภาชนะนี้เราเป็นคนเก็บรักษา
แต่ก่อนต้องไหว้วานคนอื่น เห็นไหม ทำบุญกุศลนี่ต้องอาศัยเนื้อนาบุญของโลก ต้องอาศัยพระอาศัยเจ้าถึงจะได้บุญกุศล เราต้องอาศัยคนอื่นตลอดไป ขนาดทำบุญกุศลยังต้องอาศัยเขาเพื่อบุญกุศลของเรา ประพฤติปฏิบัติเข้าไปจนเห็นใจของตัว มันต้องอาศัยใคร เพราะใจมันเป็นของเรา เราสามารถทำใจของเราได้ เราเคลื่อนใจของเราได้ จนมันหมุนขึ้นไปเป็นปัญญาของเรา เห็นไหม นี่มันชำระกิเลสอย่างนั้น
ชำระกิเลส ทำใจสะอาดขึ้นมา ใจมันจะสะอาดขึ้นมา ความสะอาดของใจ นั่นภาชนะ แล้วพยายามสร้างมรรคผลขึ้นมา เห็นไหม ความที่เป็นภาชนะนี้มันเป็นสัมมาสมาธิ จิตตั้งมั่น จิตสงบนี้ควรแก่การงาน งานนั้นจะเป็นประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติ แล้วพยายามทำขึ้นมา มันเป็นผลขึ้นมา
นั่นน่ะเป็นภาชนะ เป็นธรรมที่เราจะได้รับอีกส่วนหนึ่ง ธรรมอันนี้จะมาแก้กิเลส ธรรมอันนี้เป็นธรรมที่ว่าปหานกิเลสออกไปจากใจ ถ้าปหานกิเลสออกไปจากใจ หลุดออกไปจากใจ นี่อุทิศส่วนกุศลให้ใคร? แล้วแต่นี่ อุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลก เห็นไหม มันจะสงสารสัตว์โลกไง สงสารหัวใจของคนอื่น มันก็เป็นแบบเรา แล้วเราเห็นนะ ถ้าดวงใจดวงนั้นเห็นใจของตัวเอง แล้วทำใจของตัวเองได้เต็มหัวใจของตัวเอง แล้วใจดวงนี้มันเป็นทุกข์ยากมา ใจดวงอื่นก็เป็นอย่างนี้หมด
นี่เป็นผู้ที่อาศัยตนเองได้แล้ว ยังจะเป็นผู้ที่ว่าชี้นำบอกกล่าว เป็นผู้ที่เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้อีกมหาศาลเลย เพราะว่าใจดวงนี้สำเร็จได้ เหมือนหมอคนหนึ่ง หมอคนหนึ่งจบมาจะเป็นหมอรักษาคนไข้นี่เป็นหมื่นเป็นแสนรักษาคนไข้ได้ตลอดไป อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจดวงนั้นสงบลง หัวใจดวงนั้นชำระกิเลสออกไปจากหัวใจได้ จะเป็นหมอบอกรักษาโรคให้กับสัตว์โลกทั้งหมดเลย
สัตว์โลกมีไข้อยู่ในหัวใจ แล้วไม่เคยรู้จักไข้ ไม่เคยรู้จัก แล้วใจดวงนั้นทำได้หมด ศึกษาเข้ามา ได้ความสุขของใจดวงนั้นก่อน ใจดวงนั้นจะมีความสุขมาก มีความสุขนะ มีความสุขแล้วไม่ต้องหมุนเวียนไปอีก แล้วยังเอาความสุขนั้นเจือจานกับ เห็นไหม อุทิศส่วนกุศลออกไป อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาธรรม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้องค์หนึ่งขึ้นมา เป็นครูของสามโลกธาตุ เป็นครูของเทวดา เป็นครูอาจารย์ของเขา นี่เพราะอะไร? เพราะมันมีความรู้จริงเห็นจริงในหัวใจไง แต่ถ้ามืดบอดแล้ว มันทำอะไรก็ทำยาก ถ้าทำยากเราก็หาโอกาสไม่ได้ ถ้าเราทำได้ง่าย โอกาสของเราจะมี ถ้าโอกาสของเราจะมี นี่อุทิศส่วนกุศล
อุทิศส่วนกุศลจากข้างนอก อุทิศส่วนกุศลจากข้างใน อุทิศส่วนกุศลจากหัวใจ หัวใจมันเป็นไป มันยิ่งเห็นนะ เหมือนกับคนเป็นโรคแล้วหายจากโรค สงสารคนอื่นมาก สงสารผู้ที่ว่าต้องรักษาแบกอันนั้นไว้เป็นภาระรุงรัง แค่ขยับ เขาแสดงกิริยาออกมามันก็น่าสงสารแล้ว เพราะมันสะเทือนถึงหัวใจดวงนั้น ดวงที่แสดงออกมานั่นน่ะ มันต้องมีความทุกข์มันถึงได้แสดงกิริยานั้นออกมา แล้วมันสะเทือนใจไหม?
แล้วความทุกข์อย่างนี้มันเคยเกิดในหัวใจของเรา แล้วหัวใจของเรา ความสละสิ่งนั้นออกไป มันจะเป็นอย่างไร? มันก็สงสารเขาสิ สงสารเขา ถ้ามีโอกาสบอกได้มันก็บอก นี่มันสงสารเขา
คนนอนหลับ คนไม่ยอมเปิดตา คนที่หาใจไม่เจอ เห็นไหม ในศาสนายากๆ ตรงนี้ ยากตรงต้องทำใจให้สงบก่อน ต้องเจอภาชนะก่อน แล้วมันถึงจะเปิดภาชนะของเรายอมรับ ถ้าเขาไม่เปิดยอมรับ เราสอนไป เราบอกไป เขาว่าคนสอนนั้นบ้า แล้วคนสอนนั้น สมบัตินี่สมบัติธรรม สมบัติประเสริฐ จะไปสอนเขา เขาว่าสมบัติบ้าไง คนนี้จะไปชวนให้เป็นบ้าเหรอ? มันเป็นบ้าไปไม่ได้
นี่มันถึงว่าจะสอนเขาจริงๆ ก็ต้องรอให้เขาพร้อมเหมือนกัน ต้องเขาพร้อมเราจะสอนเขาได้ เขาไม่พร้อมเอาอะไรไปสอนเขา เขาไม่ยอมรับซะอย่างหนึ่ง สอนเขาไม่ได้ เห็นไหม
นี่มันถึงต้องคิด มันหลายอย่าง มันละเอียดอ่อน มันลึกซึ้งมาก มันถึงเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าประเสริฐที่สุดในศาสนาเรา เรามีในศาสนาเรา เราเป็นชาวพุทธ นี่อุทิศส่วนกุศลจากข้างนอกก่อน แล้วจะอุทิศส่วนกุศลจากภายใน แล้วอุทิศไม่อุทิศ เรารู้อยู่ตลอดเวลาว่าเขาเป็นอย่างไร เพราะมันเกิดดับในหัวใจเราก็เกิดดับในหัวใจเขาเหมือนกัน เอวัง